ภาษีสำหรับธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency) ที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรรู้

ภาษีสำหรับธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency)

ภาษีสำหรับธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency) ในช่วงที่ตลาดออนไลน์กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงและรู้จักสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างกว้างขว้าง นั้นก็คือ การทำการตลาด ซึ่งการทำโฆษณาในยุคนี้ไม่ได้มีเพียงการลงในทีวี หรือหนังสือพิมพ์เหมือนเมื่อก่อน แต่ยังมีช่องทางหลากหลายอย่างเช่น  FACEBOOK INSTRAGRAM TIKTOK YOUTUBE การรีวิวสินค้าผ่านอินฟูเอนเซอร์ หรือสร้างคอนเทนต์ต่าง ๆ เพื่อให้แบรน์เป็นที่รู้จัก แน่นอนว่าเจ้าของสินค้าหรือบริษัทสามารถทำการตลาดได้ด้วยตนเอง แต่ในบางครั้งหากผู้ประกอบการยังไม่มีประสบการณ์มากนัก การจ้างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาช่วยบริษัทอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยในปัจจุบันมีธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency) เติบโตจนเป็นที่น่าจับตามอง จนทำให้หลายๆ คน ผันตัวเข้าสู่วงการ วันนี้เราจึงนำข้อมูลของธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency) ในแง่ของภาษีทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลมาสรุปแบบง่ายๆ เพื่อให้คนที่กำลังทำธุรกิจหรือกำลังเริ่ม สามารถนำข้อมูลไปเป็นตัวเลือกในการวางแผนธุรกิจได้

ธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency) คืออะไร

ธุรกิจรับทำการตลาด หรือ Marketing Agency เปรียบเสมือนผู้ช่วยบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลด้านการตลาดตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมุ่งเน้นการทำให้บริษัทเป็นที่รู้จัก ส่งเสริมภาพลักษณ์ สร้างยอดขาย หาลูกค้า หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนช่วยเหลือฝ่ายขายของบริษัท ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไปตามความต้องการของบริษัทนั้น ๆ ว่าต้องการจ้าง Marketing Agency ไปช่วยเหลือดูแลด้านใด โดยไม่ต้องเข้าไปนั่งทำงานประจำอยู่ในองค์กร

เมื่อทำความรู้จักกับธุรกิจประเภทนี้ไปแล้ว ต่อมาเราจะมาในส่วนของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรับทำการตลาด (Marketing Agency)  ที่ผู้ประกอบการควรรู้

  1. ในกรณีที่ผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency) เป็นบุคคลธรรมดา จะมีภาษีที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บกับบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ โดยสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบคือ 1. หักค่าใช้จ่าย ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงของกิจการและจะต้องสามารถแสดงหลักฐานพิสูจน์ค่าใช้จ่ายได้ 2.หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา

โดยการคำนวณภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา เงินได้สุทธิหรือเงินได้พึงประเมินคำนวณได้ ดังนี้

  1. เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = ภาษีที่ต้องชำระ (ไม่เกิน 150,000 บาทแรก ยกเว้น)
  2. เงินได้พึงประเมินตั้งแต่ 60,000 บาท ขึ้นไป x 0.005 = ภาษีที่ต้องชำระ (ไม่เกิน 5,000 บาท ยกเว้น)
  3. นำ (1) และ (2) มาเปรียบเทียบกัน วิธีใด ได้ภาษีมากกว่า ให้ชำระยอดภาษีนั้น

ซึ่งผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency) ที่เป็นบุคคลธรรมดา ต้องทำการยื่นภาษี 2 ครั้ง คือ

  • ครั้งที่1 ภ.ง.ด.94 (ภาษีกลางปี) ยื่นภายในเดือนกันยายน โดยสามารถยื่นด้วยตัวเอง สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์สรรพากร
  • ครั้งที่ 2 ภ.ง.ด.90 ยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป

การยื่นภาษีบุคคลธรรมดาเป็นหน้าที่ของผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency) ที่มีรายได้ ต้องยื่นเพื่อตรวจสอบภาษี แต่จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการคำนวณรายได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนภาษีของแต่ละคน จะจ่ายเพิ่มมากหรือน้อยก็แล้วแต่คน ซึ่งในบางท่านอาจไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลยก็มี

1.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม

คือ การเก็บภาษีจากการให้บริการในการช่วยทำการตลาดให้กับลูกค้า โดยปกติจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ซึ่งผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency)  ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ถึงแม้จะเป็นบุคคลธรรมดา  ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ตาม

การยื่นจดทะเบียน

ต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน ซึ่งผู้ประกอบการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมียอดขายหรือไม่ก็ตาม

  1. ในกรณีที่ผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency) เป็นนิติบุคคล จะมีภาษีที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency) โดยการจดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องมีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลจะใช้รอบระยะเวลาบัญชีในการคำนวนและกำหนดเวลาในการยื่นภาษีซึ่งจะเริ่มต้นเมื่อต้นและสิ้นสุดลงเมื่อใดก็ได้ โดยยอดภาษีจะคำนวณจาก กำไรสุทธิคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด โดยทำการยื่นภาษี 2 ครั้ง คือ

  • ภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือน นับ แต่วันครบ 6 เดือนของรอบระยะเวลาบัญชี
  • ภาษีเงินได้สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับ ตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีโดยนำภาษีที่จ่ายในครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้เมื่อสิ้นรอบ เวลาบัญชี

 

  1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

คือ การเก็บภาษีจากการให้บริการในการช่วยทำการตลาดให้กับลูกค้า โดยปกติจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ซึ่งผู้รับทำการตลาด (Marketing Agency)  ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย

การยื่นจดทะเบียน

  • โดยต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน ซึ่งผู้ประกอบการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน

ฐานภาษี

  • คำนวนจากเงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งคิดคำนวณได้เป็นเงิน
  • ค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ ที่ได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้ บริการนั้นในประเทศ

          การคำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • คำนวนจากภาษีขาย-ภาษีซื้อ (ในแต่ละเดือน ภาษี)
  • กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อให้ชำระ ตามส่วนต่าง แต่ถ้าภาษีซื้อมีจำนวนมากกว่า ให้มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

การยื่นแบบ

  • โดยยื่นแบบภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมียอดขายหรือไม่ก็ตาม

 

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ การหักภาษีไว้ทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงิน พอมีการจ่ายเงินเกิดขึ้นแล้ว ฝั่งคนที่รับเงินถือว่ามีรายได้ โดยสามารถสรุปประเด็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในธุรกิจ Marketing Agency ได้ ดังนี้

1.กรณีจ้างฟรีแลนซ์

เมื่อ Marketing Agency จ้างฟรีแลนซ์ เช่น ค่าผลิตถ่ายทำ ตัดต่อ คลิปสื่อโฆษณา ค่าออกแบบรูปภาพในการประกาศลงสื่อ ถือว่าเป็นค่าบริการ จะต้องหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3 ส่งให้สรรพากรในเดือนถัดไป

2.กรณีที่ Marketing Agency เป็นตัวกลางในการจัดเก็บค่าสื่อลูกค้า

กรณีที่ลูกค้ามาจ้างให้ Marketing Agency เป็นตัวกลางในการสร้างสื่อต่าง ๆ Marketing Agency จะเป็นผู้มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่าย ตอนนำเงินไปจ่ายให้กับสื่อนั้น ๆ อีกที โดยมีเงื่อนไขว่าสื่อนั้นจะต้องที่มีที่ไปที่มาชัดเจน และสามารถสอบยันยอดได้ตรงกันกับสื่อต้นทางได้

ข้อแนะนำ : ควรแยกค่าโฆษณาและค่าสื่อในการทำการตลาด ที่เรียกเก็บจากลูกค้า ออกจาก Agency Fee เพื่อจะได้ถูกหัก ณ ที่จ่ายเฉพาะค่า Agency Fee หรือค่าบริการในการทำการตลาด ซึ่งเป็นรายได้จริง ที่กิจการได้รับจากลูกค้า เพื่อที่จะได้ไม่สูญเสียกระแสเงินสดไปกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ธุรกิจ Marketing Agency เป็นธุรกิจที่น่าสนใจและกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก นักการตลาดเก่ง ๆ มักสร้างคอนเทนต์ที่ดี และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่อย่าลืมว่าการทำธุรกิจไม่ได้มีเพียงการหาลูกค้าและสร้างสรรค์ผลงานเท่านั้น แต่เรื่องภาษีและการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจควรจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจอยู่บนรากฐานที่มั่นคง จึงต้องมีตัวช่วยดี ๆ อย่าง CHIC ACCOUNTING ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี ที่พร้อมให้คำแนะนำ วางรากฐานทางการเงินและภาษีที่มั่นคง เราพร้อมให้บริการ ด้วยความเป็นมืออาชีพ และบริการที่ประทับใจ

ที่มา https://www.cotactic.com/blog/the-investment-in-digital-marketing-agency/