เขียนเรซูเม่ (resume) อย่างไร ให้โดนใจ HR !

เขียนเรซูเม่ (resume)

เขียนเรซูเม่ (resume) ในการสมัครงานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นายจ้างหรือ HR รู้จักผู้สมัครมากขึ้น  เรซูเม่จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของคุณแบบคร่าว ๆ  ที่จะบอกได้ว่าคุณมีทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ทำงานอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้นายจ้างหรือ HR ตัดสินใจเรียกมาสัมภาษณ์หรือเรียกเข้ามาทดลองงาน ดังนั้น การเขียนเรซูเม่ให้ดีและเป็นมืออาชีพ จะทำให้คุณมีโอกาสได้งานมากขึ้นอย่างแน่นอน

โดยองค์ประกอบของเขียนเรซูเม่ (resume) อาจแบ่งได้เป็น 7 ส่วน ดังนี้

  1. ประวัติส่วนตัว (Personal Information) เช่น ข้อมูลส่วนตัว ยศ/ตำแหน่ง ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ e-mail address ประวัติการศึกษา (Education) ซึ่งควรเรียงลำดับจากสูงสุดไปหาล่างสุดหากได้รับเกียรตินิยม ประกาศนียบัตรที่ผ่านหลักสูตรอบรม ทุนการศึกษา หรือทุนวิจัยในระดับอุดมศึกษา ให้ใส่ลงไปด้วย
  2. จุดมุ่งหมายในการทำงาน (Career Objective) กล่าวถึงความน่าสนใจของงานตำแหน่งงาน หรือเป้าหมายในการทำงานของผู้สมัคร ส่วนนี้อาจมีผลต่อการพิจารณาเงินเดือนและตำแหน่งงาน
  3. ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) กล่าวถึงช่วงเวลา ตำแหน่งและบริษัทที่เคยร่วมงาน หรือช่วงเวลา ตำแหน่งและบริษัทที่เคยฝึกงาน หรือ ช่วงเวลา รายละเอียดงานที่เคยทำ
  4. กิจกรรมสำคัญที่เคยทำตอนเรียน เช่น งานอาสา งานออกค่าย โครงการประกวดไอเดีย ควรลำดับช่วงเวลาจากปัจจุบัน ไปถึงอดีต
  5. ทักษะและความสามารถพิเศษ (Skills) เช่น การใช้ภาษา โดยควรบอกระดับว่า ดี ปานกลาง หรือพอใช้ได้ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ การขับรถ
  6. ทักษะอื่น เช่น ดนตรี กีฬา งานอดิเรก เป็นต้น โดยในส่วนนี้ควรพิจารณาการระบุรายละเอียดตามตำแหน่งงานที่สมัคร
  7. รางวัลแห่งความสำเร็จ (Honors/ Awards) เช่น การประกวด การร่วมโครงการต่าง ๆ โดยควรลำดับช่วงเวลาจากปัจจุบัน ไปถึงอดีต
  8. ระบุชื่อบุคคลที่สามารถรับรองหรือให้ข้อมูลให้กับบริษัทที่สมัครงาน โดยต้องระบุ ชื่อ-นามสกุล และช่องทางการติดต่อต่าง ๆ ส่วนใหญ่นักศึกษาจบใหม่ จะอ้างอิงถึงอาจารย์ หรือผู้ที่เคยทำงานแล้วสามารถอ้างอิงถึงผู้บังคับบัญชาในอดีตได้ แต่ไม่ควรอ้างอิงถึงบุคคลในครอบครัว

หลักการเขียนเรซูเม่ (resume) ให้ปัง โดนใจ HR

  1. เลือกรูปแบบให้เหมาะกับงาน

รูปแบบของเรซูเม่ คือวิธีการนำเสนอข้อมูล แต่ละงานจะมีรูปแบบที่เหมาะสมต่างกัน ซึ่งมี 3 รูปแบบดังนี้

  • เรียงตามเวลา (Chronological)

คือ เรซูเม่ที่นำเอาข้อมูลล่าสุดใส่เอาไว้ข้างบน และข้อมูลเก่ากว่าอยู่ด้านล่างลงไปเรื่อย ๆ เป็นรูปแบบของเรซูเม่ที่มีการใช้งานกันมากที่สุด

  • เรียงตามฟังก์ชัน (Functional)

คือ เรซูเม่ที่จะเน้นแสดงความสามารถ หรือสกิลต่าง ๆ ที่คุณสามารถทำได้อยู่ด้านบนเรซูเม่ แทนที่จะเน้นประวัติการทำงานจากล่าสุดลงไปจนถึงประวัติเก่าๆ โดยส่วนมากแล้วจะใช้งานกันในเวลาที่มีช่วงเวลาว่างงาน ที่ไม่สามารถใช้เรซูเม่แบบช่วงเวลาได้

  • แบบผสมผสาน (Hybrid)

คือ เรซูเม่ที่ผสมทั้งสองแบบเข้ากันอย่างลงตัว ทั้งทักษะความสามารถและประสบการณ์การทำงาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันในสายงานเฉพาะทาง หรืองานที่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาต เช่น งานไอที งานทางด้านสุขภาพ งานวิศวกร งานสถาปนิก หรือด้านกฎหมาย

  1. ใส่ข้อมูลส่วนตัวให้ครบ แต่กระชับ

ส่วนสำคัญที่ต้องใส่เลยคือ ชื่อ นามสกุลของตัวเอง พร้อมทั้งข้อมูลติดต่อ อีเมล์ และหมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจนและถูกต้อง ส่วนไลน์ไอดีนั้นไม่จำเป็นสำหรับบริษัทใหญ่ เพราะบริษัทเหล่านี้จะใช้ช่องทางที่เป็นทางการในการติดต่อ เช่น อีเมล โทรศัพท์ เป็นต้น

  1. บอกเป้าหมายแบบสั้น ๆ

จุดมุ่งหมายในการทำงาน Career objective คือ การบอกเป้าหมายในการทำงาน ในระยะสั้น และระยะยาวเป็นข้อความสรุปสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 บรรทัด ที่อธิบายสั้นๆ เพื่อให้ HR สามารถทำความรู้จักกับคุณได้อย่างรวดเร็ว ส่วนนี้ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ HR ตัดสินใจที่ว่าเรซูเม่ของคุณน่าสนใจขนาดไหน

  1. ประสบการณ์ทำงานส่วนนี้ต้องใส่ใจ

ประสบการณ์ทำงาน คือส่วนที่สำคัญที่สุดของเรซูเม่เลยค่ะ โดยส่วนนี้จะต้องใส่ชื่อบริษัท ชื่อตำแหน่งงาน ระยะเวลาทำงานที่ชัดเจน ตั้งแต่เดือนอะไรปีไหน จนถึงเดือนอะไรปีไหน คุณยังทำงานนั้นอยู่หรือเปล่า ซึ่งแทนที่จะใส่ลงไปว่าหน้าที่ของคุณคืออะไร ให้คุณลองใส่ไปว่าคุณทำมันได้ดีขนาดไหน ดู

เทคนิคการใส่ประสบการณ์ทำงานให้ดีแบบมืออาชีพ

  • เวลาเขียนประสบการณ์ทำงาน ให้เขียนชื่อบริษัทที่คุณเคยทำงานด้วยทั้งหมด ชื่อตำแหน่ง แผนก ระยะเวลาที่แน่นอน (เดือน / ปี ก็พอ ไม่ต้องลงถึงวัน) และรายละเอียดในการทำงานนั้น ๆ ให้ดี
  • ให้เขียนรายละเอียดการทำงานออกเป็นหัวข้อๆ หัวข้อละ 1-3 ประโยค และใส่ประมาณ 3-5 หัวข้อต่อตำแหน่งการทำงานของคุณ
  • ใช้คำคีย์เวิร์ด ที่สำคัญให้ครบถ้วน
  • ให้เน้นว่าคุณมีความสามารถอะไรบ้าง และใช้ความสามารถนั้นในการทำอะไรให้แผนก หรือบริษัทของคุณบ้าง
  • พูดถึงความสำเร็จต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้าที่มากขึ้น หรือยอดที่ขายได้ เป็นต้น
  • ทำให้กระชับที่สุด โดยเน้นเนื้อหาและเน้นคุณภาพ
  • ใช้คำที่มีความหมายในทางบวก
  • หากคุณยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนสามารถใส่ประสบการณ์ฝึกงานลงไปแทนได้
  1. ประวัติการศึกษา ระบุที่สำคัญ

เขียนเรซูเม่ (resume) จำเป็นต้องใส่ข้อมูลประวัติการศึกษามีความสำคัญเป็นลำดับประมาณ 2-3 เท่านั้น ขอให้แบ่งพื้นที่ประมาณไม่เกิน ไม่เกิน 6-7 บรรทัดของเรซูเม่ โดยเขียนให้กระชับ เน้นเนื้อหา ใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า โดยที่สำคัญที่ควรระบุคือ ชื่อสถานศึกษา วุฒิ ชื่อคณะ ชื่อวิชาเอก ระยะเวลาที่เรียน GPA (ในกรณีที่เกิน 3.00) โดยเขียนประวัติการศึกษา ให้เขียนเรียงจากสถานศึกษาล่าสุดอยู่ด้านบนก่อน จะทำให้อ่านเรซูเม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น

  1. ใส่ความสามารถที่มีให้เต็มที่และเหมาะกับงาน

คือความสามารถที่เรามี เช่น  ความสามารถทางด้านภาษา โดยใส่ได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โดยสามารถระบุระดับภาษาของเราไปด้วย เช่น ดีมาก พอใช้ และถ้าหากคุณสามารถพูดได้มากกว่า 3 ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งคนอื่น นอกจากนี้ควรใส่สกิลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร เช่น สมัครพนักงานขับรถ ก็ต้องใส่สกิลขับรถ สมัครงานคอมพิวเตอร์ ก็ต้องใส่สกิลคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนนี้ควรเลือกใส่ให้ตรงกับงาน และที่ขาดไม่ได้คือ สกิลการใช้โปรแกรมที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายอย่าง Microsoft Windows, Microsoft Word, Microsoft Excel, Microsoft PowerPoint, และ Email ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำงานในปัจจุบัน

  1. ใช้ขนาดกระดาษ และขนาดตัวอักษรที่เหมาะสม

การเขียนเรซูเม่ (resume)ต้องใช้กระดาษขนาด A4 เขียนเรซูเม่ และใช้ขอบกระดาษขนาด 1 นิ้ว โดยเลือกใช้ฟอนต์มาตรฐาน เช่น Helvetica, Calibri, Times New Roman ที่สามารถอ่านได้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และอย่าลืมว่าให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาวเท่านั้น

TRICK!

  • RESUME ที่ดี ควรกระชับและจบใน 1 หน้า หรือถ้ายาวมากก็ไม่ควรเกิน 2 หน้า
  • ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด 7 ส่วน ตัดออกได้
  • RESUME คือ เครื่องมือในนำเสนอตัวเอง ดังนั้นจึงควรใส่ใจ และสร้างความน่าประทับใจใน RESUME
  • เขียนเรซูเม่ใหม่ทุกครั้งที่สมัครงานตำแหน่งที่แตกต่างออกไป
  • ตรวจสอบ และตรวจทานให้ดีก่อนส่ง

หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถส่งมาปรึกษา chicaccounting ได้เลยค่ะ

ที่มา : https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99resume%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9