เขียนเรซูเม่ (resume) ในการสมัครงานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นายจ้างหรือ HR รู้จักผู้สมัครมากขึ้น เรซูเม่จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของคุณแบบคร่าว ๆ ที่จะบอกได้ว่าคุณมีทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ทำงานอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้นายจ้างหรือ HR ตัดสินใจเรียกมาสัมภาษณ์หรือเรียกเข้ามาทดลองงาน ดังนั้น การเขียนเรซูเม่ให้ดีและเป็นมืออาชีพ จะทำให้คุณมีโอกาสได้งานมากขึ้นอย่างแน่นอน
โดยองค์ประกอบของเขียนเรซูเม่ (resume) อาจแบ่งได้เป็น 7 ส่วน ดังนี้
- ประวัติส่วนตัว (Personal Information) เช่น ข้อมูลส่วนตัว ยศ/ตำแหน่ง ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ e-mail address ประวัติการศึกษา (Education) ซึ่งควรเรียงลำดับจากสูงสุดไปหาล่างสุดหากได้รับเกียรตินิยม ประกาศนียบัตรที่ผ่านหลักสูตรอบรม ทุนการศึกษา หรือทุนวิจัยในระดับอุดมศึกษา ให้ใส่ลงไปด้วย
- จุดมุ่งหมายในการทำงาน (Career Objective) กล่าวถึงความน่าสนใจของงานตำแหน่งงาน หรือเป้าหมายในการทำงานของผู้สมัคร ส่วนนี้อาจมีผลต่อการพิจารณาเงินเดือนและตำแหน่งงาน
- ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) กล่าวถึงช่วงเวลา ตำแหน่งและบริษัทที่เคยร่วมงาน หรือช่วงเวลา ตำแหน่งและบริษัทที่เคยฝึกงาน หรือ ช่วงเวลา รายละเอียดงานที่เคยทำ
- กิจกรรมสำคัญที่เคยทำตอนเรียน เช่น งานอาสา งานออกค่าย โครงการประกวดไอเดีย ควรลำดับช่วงเวลาจากปัจจุบัน ไปถึงอดีต
- ทักษะและความสามารถพิเศษ (Skills) เช่น การใช้ภาษา โดยควรบอกระดับว่า ดี ปานกลาง หรือพอใช้ได้ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ การขับรถ
- ทักษะอื่น เช่น ดนตรี กีฬา งานอดิเรก เป็นต้น โดยในส่วนนี้ควรพิจารณาการระบุรายละเอียดตามตำแหน่งงานที่สมัคร
- รางวัลแห่งความสำเร็จ (Honors/ Awards) เช่น การประกวด การร่วมโครงการต่าง ๆ โดยควรลำดับช่วงเวลาจากปัจจุบัน ไปถึงอดีต
- ระบุชื่อบุคคลที่สามารถรับรองหรือให้ข้อมูลให้กับบริษัทที่สมัครงาน โดยต้องระบุ ชื่อ-นามสกุล และช่องทางการติดต่อต่าง ๆ ส่วนใหญ่นักศึกษาจบใหม่ จะอ้างอิงถึงอาจารย์ หรือผู้ที่เคยทำงานแล้วสามารถอ้างอิงถึงผู้บังคับบัญชาในอดีตได้ แต่ไม่ควรอ้างอิงถึงบุคคลในครอบครัว
หลักการเขียนเรซูเม่ (resume) ให้ปัง โดนใจ HR
-
เลือกรูปแบบให้เหมาะกับงาน
รูปแบบของเรซูเม่ คือวิธีการนำเสนอข้อมูล แต่ละงานจะมีรูปแบบที่เหมาะสมต่างกัน ซึ่งมี 3 รูปแบบดังนี้
- เรียงตามเวลา (Chronological)
คือ เรซูเม่ที่นำเอาข้อมูลล่าสุดใส่เอาไว้ข้างบน และข้อมูลเก่ากว่าอยู่ด้านล่างลงไปเรื่อย ๆ เป็นรูปแบบของเรซูเม่ที่มีการใช้งานกันมากที่สุด
- เรียงตามฟังก์ชัน (Functional)
คือ เรซูเม่ที่จะเน้นแสดงความสามารถ หรือสกิลต่าง ๆ ที่คุณสามารถทำได้อยู่ด้านบนเรซูเม่ แทนที่จะเน้นประวัติการทำงานจากล่าสุดลงไปจนถึงประวัติเก่าๆ โดยส่วนมากแล้วจะใช้งานกันในเวลาที่มีช่วงเวลาว่างงาน ที่ไม่สามารถใช้เรซูเม่แบบช่วงเวลาได้
- แบบผสมผสาน (Hybrid)
คือ เรซูเม่ที่ผสมทั้งสองแบบเข้ากันอย่างลงตัว ทั้งทักษะความสามารถและประสบการณ์การทำงาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันในสายงานเฉพาะทาง หรืองานที่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาต เช่น งานไอที งานทางด้านสุขภาพ งานวิศวกร งานสถาปนิก หรือด้านกฎหมาย
-
ใส่ข้อมูลส่วนตัวให้ครบ แต่กระชับ
ส่วนสำคัญที่ต้องใส่เลยคือ ชื่อ นามสกุลของตัวเอง พร้อมทั้งข้อมูลติดต่อ อีเมล์ และหมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจนและถูกต้อง ส่วนไลน์ไอดีนั้นไม่จำเป็นสำหรับบริษัทใหญ่ เพราะบริษัทเหล่านี้จะใช้ช่องทางที่เป็นทางการในการติดต่อ เช่น อีเมล โทรศัพท์ เป็นต้น
-
บอกเป้าหมายแบบสั้น ๆ
จุดมุ่งหมายในการทำงาน Career objective คือ การบอกเป้าหมายในการทำงาน ในระยะสั้น และระยะยาวเป็นข้อความสรุปสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 บรรทัด ที่อธิบายสั้นๆ เพื่อให้ HR สามารถทำความรู้จักกับคุณได้อย่างรวดเร็ว ส่วนนี้ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ HR ตัดสินใจที่ว่าเรซูเม่ของคุณน่าสนใจขนาดไหน
-
ประสบการณ์ทำงานส่วนนี้ต้องใส่ใจ
ประสบการณ์ทำงาน คือส่วนที่สำคัญที่สุดของเรซูเม่เลยค่ะ โดยส่วนนี้จะต้องใส่ชื่อบริษัท ชื่อตำแหน่งงาน ระยะเวลาทำงานที่ชัดเจน ตั้งแต่เดือนอะไรปีไหน จนถึงเดือนอะไรปีไหน คุณยังทำงานนั้นอยู่หรือเปล่า ซึ่งแทนที่จะใส่ลงไปว่าหน้าที่ของคุณคืออะไร ให้คุณลองใส่ไปว่าคุณทำมันได้ดีขนาดไหน ดู
เทคนิคการใส่ประสบการณ์ทำงานให้ดีแบบมืออาชีพ
- เวลาเขียนประสบการณ์ทำงาน ให้เขียนชื่อบริษัทที่คุณเคยทำงานด้วยทั้งหมด ชื่อตำแหน่ง แผนก ระยะเวลาที่แน่นอน (เดือน / ปี ก็พอ ไม่ต้องลงถึงวัน) และรายละเอียดในการทำงานนั้น ๆ ให้ดี
- ให้เขียนรายละเอียดการทำงานออกเป็นหัวข้อๆ หัวข้อละ 1-3 ประโยค และใส่ประมาณ 3-5 หัวข้อต่อตำแหน่งการทำงานของคุณ
- ใช้คำคีย์เวิร์ด ที่สำคัญให้ครบถ้วน
- ให้เน้นว่าคุณมีความสามารถอะไรบ้าง และใช้ความสามารถนั้นในการทำอะไรให้แผนก หรือบริษัทของคุณบ้าง
- พูดถึงความสำเร็จต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้าที่มากขึ้น หรือยอดที่ขายได้ เป็นต้น
- ทำให้กระชับที่สุด โดยเน้นเนื้อหาและเน้นคุณภาพ
- ใช้คำที่มีความหมายในทางบวก
- หากคุณยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนสามารถใส่ประสบการณ์ฝึกงานลงไปแทนได้
-
ประวัติการศึกษา ระบุที่สำคัญ
เขียนเรซูเม่ (resume) จำเป็นต้องใส่ข้อมูลประวัติการศึกษามีความสำคัญเป็นลำดับประมาณ 2-3 เท่านั้น ขอให้แบ่งพื้นที่ประมาณไม่เกิน ไม่เกิน 6-7 บรรทัดของเรซูเม่ โดยเขียนให้กระชับ เน้นเนื้อหา ใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า โดยที่สำคัญที่ควรระบุคือ ชื่อสถานศึกษา วุฒิ ชื่อคณะ ชื่อวิชาเอก ระยะเวลาที่เรียน GPA (ในกรณีที่เกิน 3.00) โดยเขียนประวัติการศึกษา ให้เขียนเรียงจากสถานศึกษาล่าสุดอยู่ด้านบนก่อน จะทำให้อ่านเรซูเม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
-
ใส่ความสามารถที่มีให้เต็มที่และเหมาะกับงาน
คือความสามารถที่เรามี เช่น ความสามารถทางด้านภาษา โดยใส่ได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โดยสามารถระบุระดับภาษาของเราไปด้วย เช่น ดีมาก พอใช้ และถ้าหากคุณสามารถพูดได้มากกว่า 3 ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งคนอื่น นอกจากนี้ควรใส่สกิลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร เช่น สมัครพนักงานขับรถ ก็ต้องใส่สกิลขับรถ สมัครงานคอมพิวเตอร์ ก็ต้องใส่สกิลคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนนี้ควรเลือกใส่ให้ตรงกับงาน และที่ขาดไม่ได้คือ สกิลการใช้โปรแกรมที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายอย่าง Microsoft Windows, Microsoft Word, Microsoft Excel, Microsoft PowerPoint, และ Email ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำงานในปัจจุบัน
-
ใช้ขนาดกระดาษ และขนาดตัวอักษรที่เหมาะสม
การเขียนเรซูเม่ (resume)ต้องใช้กระดาษขนาด A4 เขียนเรซูเม่ และใช้ขอบกระดาษขนาด 1 นิ้ว โดยเลือกใช้ฟอนต์มาตรฐาน เช่น Helvetica, Calibri, Times New Roman ที่สามารถอ่านได้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และอย่าลืมว่าให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาวเท่านั้น
TRICK!
- RESUME ที่ดี ควรกระชับและจบใน 1 หน้า หรือถ้ายาวมากก็ไม่ควรเกิน 2 หน้า
- ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด 7 ส่วน ตัดออกได้
- RESUME คือ เครื่องมือในนำเสนอตัวเอง ดังนั้นจึงควรใส่ใจ และสร้างความน่าประทับใจใน RESUME
- เขียนเรซูเม่ใหม่ทุกครั้งที่สมัครงานตำแหน่งที่แตกต่างออกไป
- ตรวจสอบ และตรวจทานให้ดีก่อนส่ง
หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถส่งมาปรึกษา chicaccounting ได้เลยค่ะ